เสียบแทน "ซาร์รี" หลังรับงานคุมยูเวนตุส ยู-23 แค่ 9 วัน
แต่ใครจะรู้ว่าหน้าที่อันยิ่งใหญ่จะพุ่งเข้าใส่คนที่ไม่เคยคิดว่าอยากเป็นโค้ชอย่าง ปิร์โล ซึ่งเพิ่งได้เข้ามาคุมทีมยูเวนตุส ชุดยู-23 เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่แล้วในวันที่ 8 สิงหาคม "ม้าลาย" ที่เพิ่งปลด เมาริซิโอ ซาร์รี ตกเก้าอี้กุนซือใหญ่หลังพาทีมแพ้ โอลิมปิก ลียง ตกรอบ 16 ทีมในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ก็เลือกที่จะให้โอกาสกับเขา แม้ไม่เคยผ่านงานกับสโมสรใดมาก่อน
อันเดรีย อันเญลลี ประธานสโมสรเผยถึงเหตุผลที่มอบงานนี้ให้ว่า เขาพร้อมที่จะเสี่ยงอีกครั้งเหมือนตอนที่เขาเลือก อันโตนิโอ คอนเต ที่ผ่านการคุมแต่ทีมเล็กอย่าง อาเรซโซ, บารี, อตาลันตา และ เซียนา ก่อนได้แชมป์ลีก 3 สมัยในปี 2012-2014
ต่อด้วยการเลือก มัสซิมิเลียโน อัลเลกรี ที่ได้แชมป์ลีกเพียงครั้งเดียวกับ เอซี มิลาน มารับช่วงต่อจาก คอนเต ก่อนนำ ยูเว ได้แชมป์ลีกต่อเนื่องอีก 5 สมัยในปี 2015-2019 และยังได้แชมป์โคปปาอิตาเลียอีก 4 สมัย รวมถึงเข้ารอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก อีก 2 ครั้ง แม้จบแค่รองแชมป์ทั้งหมดก็ตาม
ไม่เพียงเท่านั้น บอสใหญ่ของเบียงโคเนรียังต้องการส่งเสริมแบรนด์ยูเวนตุสให้แข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นการเข้ามาของ "อิล มาเอสโตร" ที่มาพร้อมกับภาพลักษณ์ของอดีตนักเตะระดับตำนานของสโมสรและทีมชาติอิตาลีที่คนทั่วโลกให้การยอมรับ ก็น่าจะช่วยเพิ่มแรงดึงดูดสำหรับต่อยอดในด้านการตลาดได้
แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดก็คือ ปิร์โล เข้าใจวัฒนธรรมของสโมสรเป็นอย่างดี และยังรู้จักตื้นลึกหนาบางเกี่ยวกับสโมสรที่เขาเคยร่วมงานในสมัยค้าแข้งยุครุ่งเรืองของวงการลูกหนังอิตาลีทั้ง อินเตอร์ มิลาน และเอซี มิลาน อีกด้วย นอกจากนี้ยังสามารถเป็นตัวเชื่อมระหว่างลูกทีมกับผู้เล่นอาวุโสของ "ม้าลาย" อย่าง จานลุยจิ บุฟฟอน, จอร์โจ คิเอลลินี กับ เลโอนาร์โด โบนุชชี ที่เคยเล่นด้วยกันมาก่อนและรู้มือกันเป็นอย่างดีได้ ซึ่ง อันเญลลี ต้องการให้เขาเข้ามาปลุกสปิริตและความสามัคคีที่ขาดหายไปในยุคของ ซาร์รี ให้กลับคืนมาอีกครั้ง
ด้วยชื่อเสียง, บุคลิก และคุณสมบัติต่างๆ ในตัวปิร์โล ทำให้เขาน่าจะเป็นที่ยอมรับของนักเตะได้ไม่ยาก โดยเฉพาะดาราประจำทีมอย่าง คริสเตียโน โรนัลโด ที่เคยมีข่าวไม่ลงรอยกับเจ้านายคนก่อนอย่าง ซาร์รี ซึ่งยังมีบารมีไม่มากพอที่จะทำให้ยอดดาวเตะโปรตุกีสเคารพเชื่อฟัง
ทั้งหมดนี้ อันเญลลี จึงคาดหวังกับการเดิมพันครั้งนี้อยู่ลึกๆ ว่าโมเดลที่สโมสรผลักดันตำนานนักเตะขึ้นมาเป็นกุนซือจะประสบความสำเร็จแบบเดียวกับ บาร์เซโลนา ที่ได้ เป๊ป กวาร์ดิโอลา เข้ามาเนรมิต 14 แชมป์ในระหว่างปี 2008-2012 หรือ เรอัล มาดริด ที่ให้ ซีเนดีน ซีดาน เข้ามาพาทีมคว้าถ้วย 11 ใบในปี 2016 ถึงปัจจุบัน
จบโปรไลเซนส์แค่ 6 วันก่อนเปิดฤดูกาล เซเรีย อา
กระนั้นทั้ง เป๊ป และ ซีดาน ยังมีโอกาสเก็บเลเวลกับการคุมทีมสำรองของสโมสรก่อน โดย เป๊ป ได้เริ่มงานกับ บาร์เซโลนา เบ ในปี 2007-2008 ก่อนขึ้นไปแทนที่ แฟรงค์ ไรจ์การ์ด ส่วน "ซิซู" ก็เริ่มต้นด้วยการเป็นผู้ช่วยของ อันเชล็อตติ ในทีม "ราชันชุดขาว" เมื่อปี 2013 จากนั้นก็มีเวลาฝึกปรือวิชากับ เรอัล มาดริด กาสตีญา ในปี 2014-2016 ก่อนสืบทอดตำแหน่งแทน ราฟา เบนิเตซ
ผิดกับ ปิร์โล ที่ยังไม่ทันได้เริ่มงานกับทีมยูเวนตุส ชุดยู-23 แม้แต่เกมเดียว ก็ถึงคราวปุ๊บปั๊บรับโชคถูกดันขึ้นไปประเดิมงานแรกกับทีมชุดใหญ่ทันที แน่นอนว่าตัวเขาเองก็คงไม่ได้เตรียมใจเพื่อเจอสิ่งนี้มาก่อน เพราะเขาเพิ่งจะเริ่มอบรมโค้ชในระดับยูฟ่า โปรไลเซนส์ เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว ซึ่งต้องเข้ารับการอบรมตามหลักสูตรให้ครบ 240 ชั่วโมง และหลักสูตรนี้ก็กินระยะเวลาราว 1 ปี
แต่ก็นับว่า ยูเวนตุส ยังโชคดีท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 ที่ทำให้ฤดูกาล 2020-2021 กลับมาเปิดช้ากว่าเดิม 1 เดือน เพราะกุนซือที่จะคุมทีมในลีกสูงสุดของอิตาลีได้ต้องมีใบประกาศนียบัตรการอบรมโค้ชระดับโปรไลเซนส์ก่อน และปิร์โล ก็เพิ่งจะจบหลักสูตรเมื่อวันที่ 14 กันยายนที่ผ่านมา หรือก่อนที่ "ม้าลาย" จะลงเล่นนัดแรกของ กัลโช เซเรีย อา ซีซั่นนี้เพียง 6 วัน
แม้จะถูกกดดันด้วยเวลาที่บีบคั้น แต่ ปิร์โล ก็ยังไม่หวั่นไหวกับสถานการณ์ พร้อมกับฝากผลงานด้วยการทำคะแนนสอบครั้งสุดท้ายก่อนจบหลักสูตรได้ถึง 107 คะแนน จากคะแนนเต็ม 110 คะแนน มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในบรรดาคนที่อบรมรุ่นเดียวกัน เป็นรองแค่ ติอาโก ม็อตตา เพื่อนร่วมทีมชาติอิตาลีชุดรองแชมป์ยูโร 2012 เท่านั้น
เรนโซ อูลิเวียรี ประธานสมาคมผู้ฝึกสอนแห่งอิตาลี (เอไอเอซี) ซึ่งเป็นผู้ควบคุมหลักสูตรที่ ปิร์โล เข้ารับการอบรม ได้พูดถึงโค้ชมือใหม่ไฟแรงว่า "เขามีความรู้และความเข้าใจในเกมฟุตบอลมากกว่าโค้ชอีกหลายคนที่ทำงานมานานหลายปีเสียอีก เขามีทั้งความมุ่งมั่น, ฉลาดหลักแหลม และยังสามารถวิเคราะห์ความน่าจะเป็นที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของวงการฟุตบอลได้ ปิร์โล คือ คนที่มีวิสัยทัศน์ในการมองไปข้างหน้าอย่างแท้จริง"
ซึ่งในช่วง 1 วันก่อนจบหลักสูตรโปรไลเซนส์ อดีตเพลย์เมกเกอร์เท้าชั่งทองก็มีโอกาสได้ทดลองวิชาที่เรียนรู้มาในเกมอุ่นเครื่องปรีซีซั่นที่ ยูเว สอนเชิง โนวารา ทีมในระดับเซเรีย ซี ไปด้วยสกอร์ 5-0 ซึ่งหลังจบเกมเขาได้ให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางการทำทีมของตัวเองว่า "ทีมของผมจะต้องเล่นเกมรุกด้วยความดุดัน และเมื่อเสียบอลแล้วจะต้องกระตือรือร้นในการแย่งกลับคืนมาโดยเร็วที่สุด นั่นคือสิ่งที่เราเน้นหนักมาก"
ปิร์โล ได้หยิบยก บาเยิร์น มิวนิก ที่ชนะทั้ง 11 นัดตลอดรายการก่อนผงาดคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก เมื่อฤดูกาลที่แล้วมาถอดบทเรียนว่า นี่คือตัวอย่างของทีมที่ประสบความสำเร็จด้วยวิธีการเล่นแบบรุกไล่เอาบอลกลับมาอยู่ในการครอบครองให้ได้โดยใช้เวลาน้อยที่สุด และนั่นเป็นคาแรกเตอร์ที่เขาต้องการจะใส่ให้กับลูกทีม
"อิล มาเอสโตร" ยังบอกอีกว่ายุทธวิธีที่เขาชื่นชอบคือ "โททัล ฟุตบอล" หรือรูปแบบการเล่นที่มีหัวใจสำคัญคือ ผู้เล่นทุกคนสามารถทดแทนตำแหน่งและบทบาทการเล่นได้หมด ไม่ว่าจะเป็นกองหน้า กองกลาง และกองหลัง
ซึ่งทีมที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับไอเดียในการทำงานโค้ชของเขามีทั้ง บาร์เซโลนา ภายใต้การคุมทีมโดย โยฮัน ครัฟฟ์ (ปี 1988-1996) และ เป๊ป กวาร์ดิโอลา (ปี 2008-2012), อาแจกซ์ ในยุคของ หลุยส์ ฟาน กัล (ปี 1991-1997), เอซี มิลาน ที่มีแม่ทัพเป็น คาร์โล อันเชล็อตติ (ปี 2001-2009) และ ยูเวนตุส ซึ่งมี อันโตนิโอ คอนเต เป็นนายใหญ่ (ปี 2011-2014)
เพียงแค่แมตช์แรกกับการคุมทีมอย่างเป็นทางการในศึกกัลโช เซเรีย อา อิตาลี นัดเปิดฤดูกาล 2020-2021 ที่ "ม้าลาย" เปิดบ้านถล่ม ซามพ์โดเรีย 3-0 ปิร์โล ก็แสดงให้เห็นว่ารูปแบบการทำทีมที่เขาว่ามานั้น สามารถหยิบมาใช้และได้ผลจริง ซึ่งสะท้อนด้วยสถิติการครองบอล 62 เปอร์เซ็นต์, สัมผัสบอลทั้งเกม 910 ครั้ง, ผ่านบอลทั้งหมด 728 ครั้ง สำเร็จถึง 653 ครั้ง คิดเป็น 90 เปอร์เซ็นต์, มีการเข้าปะทะ 18 ครั้ง เสียฟาวล์ 15 ครั้ง, เคลียร์บอล 18 ครั้ง, ตัดบอลได้ 17 ครั้ง และเข้ามาซ้อนเมื่อเสียการครองบอล 47 ครั้ง
และนัดล่าสุดที่แม้ว่าจะบุกไปเสมอ โรมา 2-2 โดยเหลือผู้เล่น 10 คนในช่วงเกือบครึ่งชั่วโมงสุดท้าย แต่ ยูเวนตุส ก็ยังครองบอลได้เหนือกว่าที่ 57 เปอร์เซ็นต์, สัมผัสบอลทั้งเกม 773 ครั้ง, ผ่านบอลทั้งหมด 601 ครั้ง สำเร็จถึง 534 ครั้ง คิดเป็น 89 เปอร์เซ็นต์, มีการเข้าปะทะ 13 ครั้ง เสียฟาวล์ 9 ครั้ง, เคลียร์บอล 7 ครั้ง, ตัดบอลได้ 14 ครั้ง และเข้ามาซ้อนเมื่อเสียการครองบอล 28 ครั้ง
แม้เบียงโคเนรีจะทำแต้มหล่นหายไป 2 คะแนน แต่ คริสเตียโน โรนัลโด ที่ยิงคนเดียว 2 ประตูช่วยเซฟ 1 แต้มให้กับทีมก็พูดถึงการร่วมงานกับ ปิร์โล ว่าดูดีมีชีวิตชีวา และน่าจะมีผลงานในสนามที่ดีกว่ายุคของ ซาร์รี พร้อมกับเชื่อว่าทีมจะมุ่งไปสู่เป้าหมายในการคว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 10 ติดต่อกันได้
ซึ่งคำชื่นชมนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เจ้านายคนใหม่ให้สัมภาษณ์ออกสื่อว่าเขาอาจจะไม่ได้ลงสนามทุกนัด และต้องเข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องถูกดร็อปในบางนัด เพื่อรักษาสภาพร่างกายที่ล่วงเลยมาถึงวัย 35 ปีแล้วด้วย
"เรากำลังอยู่ในช่วงออกสตาร์ตของฤดูกาลใหม่ ภายใต้โค้ชคนใหม่และไอเดียใหม่ๆ แต่ผมสามารถมองเห็นได้ว่าการทำงานภายในทีมกำลังไปได้สวย พวกเรามีความกระตือรือร้นกันมากขึ้น และผมก็เห็นอนาคตที่สดใสรอเราอยู่ ซึ่งสิ่งที่เราสัมผัสได้ในตอนนี้คือทุกคนมีความสุขจากการทำงานภายใต้รอยยิ้ม" ยอดดาวยิงทีมชาติโปรตุเกส เล่าถึงบรรยากาศในการเป็นลูกทีมของอดีตห้องเครื่องทีมชาติอิตาลี ผ่านทาง สกาย สปอร์ตส อิตาเลีย
แต่ตอนนี้เส้นทางสายกุนซือของ อันเดรีย ปิร์โล เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น ซึ่งเขาจะประสบความสำเร็จและกลายเป็นตำนานของวงการลูกหนังเช่นเดียวกับสมัยที่เป็นนักเตะระดับเวิลด์คลาสได้หรือไม่ กาลเวลาเท่านั้นที่จะเป็นผู้ให้คำตอบ
เรื่อง : ชัช บางแค
กราฟิก : Theerapong Chaiyatep
"เป็น" - Google News
September 29, 2020 at 06:00AM
https://ift.tt/33aokXE
อันเดรีย ปิร์โล : ไม่อยากเป็นโค้ช สู่กุนซือความหวังใหม่ของยูเวนตุส - ไทยรัฐ
"เป็น" - Google News
https://ift.tt/3eIAhHj
Home To Blog
No comments:
Post a Comment